ในครอบครัวที่มีผู้ติดสารเสพติดอยู่บ้านหรือกำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการเลิกยาเสพติด หรือกำลังหาวิธีเลิกยาเสพติด ครอบครัวมีบทบาทบาทสำคัญอย่างมากต่อการเลิกสุรายาเสพติด เนื่องจากเป็นทั้งคนที่คอยให้กำลังใจ คอยเป็นห่วงคอยเตือน คอยสอน เจตนาดี หวังดี คอยช่วยเหลือต่าง ๆ แต่บางครั้งการช่วยเหลือที่ไม่ถูกวิธีกลับกลายเป็นการส่งเสริมให้ผู้ติดสารเสพติดยังคงใช้สารเสพติดอยู่ หรือทำให้ไม่สามารถเลิกใช้ยาเสพติดได้ โดยที่คนในครอบครัวไม่รู้ตัว
ยกตัวอย่างจากข่าวที่เราสามารถพบเจอได้โดยทั่วไป เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2564 หญิงอายุ 65 ปี แม่ผู้ก่อเหตุ เปิดใจทั้งน้ำตาว่า เธอรู้มาตลอดว่าลูกมีพฤติกรรมเสพยาเสพติด ซึ่งเธอเคยอ้อนวอนขอให้เลิก แต่กลับถูกขู่จะทำร้ายร่างกายอยู่บ่อยครั้ง จึงจำใจแจ้งตำรวจให้จับกุมลูกชาย หวังจะดัดนิสัย จากนั้นก็ได้นำเงินสดจำนวน 20,000 บาท ยื่นขอประกันตัวลูกชายออกมา กระทั่งวันเกิดเหตุ ลูกชายเกิดคลุ้มคลั่งจากการเสพยาเสพติด อาละวาดทำลายข้าวของภายในบ้าน ซึ่งเธอพยายามตะโกนสุดเสียงบอกให้ หยุด! เพื่อหวังจะเรียกสติให้กลับคืนมา แต่ลูกชายกลับตะคอกเสียงใส่ พร้อมขู่จะเอาเงินไปซื้อยาเสพติด วินาทีนั้นเห็นท่าไม่ดี จึงรีบวิ่งหนีออกจากบ้าน ก่อนจะโทรศัพท์แจ้งตำรวจให้เข้ามาระงับเหตุ (ที่มา : https://news.ch7.com/detail/523643)
จากข่าวในกรณีข้างต้นจะเห็นได้ว่า แม่รู้มาตลอดว่าลูกติดสารเสพติด อดทนมาตลอด เมื่อถูกขู่ หรือทำร้ายร่างกาย จึงตัดสินใจแจ้งตำรวจจับลูกไปแล้ว แต่ด้วยความรักลูก เป็นห่วง สงสารลูก ไม่อยากทำร้ายลูก กลัวลูกลำบาก หรือโกรธตัวเอง สุดท้ายต้องยอมจำใจประกันตัวลูกออกมา ซึ่งสุดท้ายลูกก็ยังคงกลับไปใช้สารเสพติดเหมือนเดิม พฤติกรรมของแม่ดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็น “พฤติกรรมส่งเสริมทางอ้อมของครอบครัวที่ทำให้ใช้สุรายาเสพติด”
หมายถึง พฤติกรรมที่บุคคลรอบข้างเอื้อให้ผู้ติดสารเสพติดหรือผู้ที่กำลังบำบัดยาเสพติด ยังคงใช้สารเสพติด กลายเป็นเงื่อนไขที่ทำผู้เสพยาเสพติดยังคงเสพยาต่อเนื่อง หรือพฤติกรรมที่ทำแล้วเป็นการให้รางวัลกับผู้ติดเสพยาเสพติดทางอ้อม เป็นการช่วยหลีกเลี่ยงผลร้ายที่เกิดจากการเสพยาเสพติด ซึ่งนอกจากตัวอย่างของแม่ที่ยอมติดสินบนตำรวจ หรือยอมประกันตัวลูกแล้ว ยังมีอีกหลายพฤติกรรมของคนในครอบครัวที่เป็นการส่งเสริมทางอ้อม โดยที่ครอบครัวไม่รู้ตัว ยกตัวอย่างเช่น
• แม่พ่อที่ให้เงินลูกไปใช้สารเสพติด เพราะทนรำคาญหรือทนอารมณ์ลูกติดยาไม่ไหว
• พ่อแม่ที่ไปซื้อยาเสพติดให้ลูกที่ติดยา เพราะกลัวลูกจะลงแดงตายเมื่อขาดยา
• พ่อแม่ที่ไปซื้อยาเสพติดให้ลูกที่ติดยา เพราะกลัวลูกถูกตำรวจจับ
• แม่ที่ช่วยปิดบังความลับของลูกที่ไปใช้ยาเสพติด เพราะกลัวว่าจะถูกพ่อทำโทษ
• แม่ที่คอยแก้ตัวให้ลูกเรื่องพฤติกรรมที่ไม่ดีที่เกิดจากการเสพยา
• พ่อให้เงื่อนไขกับลูกว่า ถ้าเลิกยาเสพติดได้จะซื้อรถยนต์หรือซื้อของที่อยากได้ให้
• ภรรยาที่ยอมทำตามสามีที่ติดยาทุกๆอย่าง เพราะกลัวว่าสามีมราติดยาเสพติดจะทิ้ง
• พ่อแม่ที่ไม่พาลูกไปรักษา เพราะกลัวทางโรงเรียนหรือที่ทำงานจะทราบ ฯลฯ
โดยปกติแล้วคนที่เป็น Enablers นั้นไม่ได้มีเจตนาอยากให้ผู้ใช้สารเสพติด แต่ทำไปเพื่อปกป้องหรือเจตนาอื่นๆ ซึ่งในระยะยาวกลายเป็นทำลายผู้ใช้สารเสพติดโดยไม่ตั้งใจ นอกจากนี้การมีพฤติกรรมส่งเสริมทางอ้อมนี้จะทำให้เกิดความรู้สึกทางลบต่างๆกับตัวเอง และผู้ติดสารเสพติดอีกด้วย เช่น
• ความรู้สึกผิด กลัวและกังวล เพราะคิดว่าตัวเองอาจเป็นส่วนหนึ่งของปัญหานี้
• หงุดหงิดหรือโกรธ เพราะแม้แต่ป้องป้องให้ ผู้ติดสารเสพติดยังคงไม่เชื่อฟัง ยังคงใช้สารเสพติดอยู่
• สิ้นหวัง ซึมเศร้า เนื่องจากเป็นปัญหาวุ่นวายยากที่จะจัดการได้
• รู้สึกแปลกแยก เพราะเหนื่อยในการแก้ปัญหาอยู่คนเดียวในที่สุดก็จะละทิ้งเลิกยุ่งเกี่ยวกับผู้ที่ใช้สารเสพติด
คนในครอบครัวสามารถช่วยเหลือคนที่เรารักให้หยุดพฤติกรรมการเสพติดได้ โดยการรู้เท่าทันพฤติกรรมที่ส่งเสริมทางอ้อมและให้ความช่วยเหลืออย่างถูกวิธี ได้ดังนี้
1. การสื่อสารอย่างเข้าใจ - วิธีที่ควรทำคือเปิดอกคุยกันอย่างจริงใจ เปิดอก เปิดใจ เปิดโอกาสให้รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เขาหันไปหายาเป็นการแสดงออกถึงความรักและความเข้าใจที่คนในครอบครัวมีต่อผู้ติดสารเสพติด ทั้งครอบครัวและผู้ติดยาต้องสามารถเปิดใจพูดคุยสื่อสารถึงความรู้สึกและความต้องการของทั้งสองฝ่ายให้ชัดเจน เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกัน ซึ่งเป็นผลดีกว่าการตำหนิ บังคับ กดดัน หรือดุด่าเพื่อให้เลิกใช้ยา รังแต่จะเพิ่มความเครียดให้ผู้เสพและหันไปพึ่งยาเสพติดเหมือนเดิม
2. การกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน - คนในครอบครัวจะต้องสร้างกฎข้อบังคับที่ชัดเจน เพื่อที่จะหยุดพฤติกรรมการใช้สารเสพติด
3. การสร้างจุดมุ่งหมายร่วมกันระหว่างผู้ติดสารเสพติดและครอบครัว - การสร้างจุดมุ่งหมายร่วมกัน จะทำให้ทั้งผู้ติดสารเสพติดและครอบครัวมองไปยังจุดมุ่งหมายเดียวกัน
4. การไม่แก้ตัวแทน – การแก้ตัวให้ผู้ใช้สารเสพติด เป็นการช่วยสนับสนุนให้เขายังคงต้องเสพสารเสพติดอยู่
5. การศึกษาข้อมูลที่ถูกต้องในการดูแลผู้ติดสารเสพติด - ครอบครัวผู้ติดติดยาเสพติดต้องเรียนรู้เรื่องการดูแลที่เหมาะสม เรียนรู้เรื่องอาการผู้ติดสารเสพติด หรือข้อมูลเพื่อสังเกตอาการเกี่ยวกับสถานการณ์หรือตัวกระตุ้นที่จะทำให้ผู้ติดสารเสพติดที่ได้รับการบำบัดยาเสพติดแล้วกลับไปเสพยาเสพติดอีกครั้ง และควรหลีกเลี่ยงที่จะไม่เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ติดสารเสพติดหันกลับไปใช้ยาเสพติดซ้ำ
6. การดูแลตัวเองของครอบครัว - ครอบครัวติดยาเสพติดหรือผู้ที่อยู่ในขั้นตอนบำบัดยาเสพติดจะต้องให้เวลากับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพกายหรือสุขภาพจิตของคนในครอบครัว ต้องไม่ลืมรักษาการใช้ชีวิตของตัวเองให้สมดุล และไม่ลืมเป้าหมายของตัวเอง และไม่ลืมให้ความสำคัญในการดูแลตัวเองด้วยเช่นเดียวกัน
7. การรีบพาผู้ติดสารเสพติดไปพบแพทย์หรือเข้าสถานบำบัดยาเสพติด – เพื่อช่วยควบคุมสถานการณ์และผู้เชี่ยวชาญสามารถแนะนำคนในครอบครัวได้ผ่านการบำบัดยาเสพติด ว่าควรจะให้กำลังใจผู้เสพติดอย่างไรและสามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวด้วย
ศูนย์บำบัดยาเสพติด day one rehabilitation center เป็นสถานบำบัดยาเสพติดกินนอน ผู้บำบัดยาเสพติดจะได้รับการดูแลจากแพทย์และทีมสหวิชาชีพ ที่ให้การฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย และจิตใจ ผู้ติดสารเสพติดจะได้เรียนรู้การบำบัดยาเสพติดในรูปแบบต่างๆ เช่น การทำกลุ่มบำบัด ครอบครัวบำบัด การใช้กระบวนการทางจิตวิทยาในการแก้ไขปัญหา การเสริมสร้างพลังใจให้เข้มแข็ง รู้จักหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธยาเสพติด รวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับสังคม ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เจตคติในการเลิกเสพยาเสพติดได้ เป็นต้น โดยใช้เวลาในการบำบัดยาเสพติดอย่างน้อย 3 – 4 เดือน และติดตามดูแลช่วยเหลือหลังผ่านการบำบัดยาเสพติดประมาณ 1 ปี เพื่อไม่ให้กลับไปเสพซ้ำอีก
เมื่อจัดการปัญหาดังกล่าวได้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือครอบครัวควรให้เวลากับผู้ติดสารเสพติดอย่างมีคุณภาพ เวลาเป็นสิ่งสำคัญมากที่ครอบครัวต้องมอบให้กับผู้ติดสารเสพติดในช่วงขณะที่ทำการบำบัดยาเสพติด เพื่อให้ผู้ติดสารเสพติดสัมผัสถึงความรักความอบอุ่น และกำลังใจ โดยครอบครัวจะต้องพาผู้ติดสารเสพติดมายังสถานบำบัดยาเสพติดตามเวลานัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การรักษาอาการติดยาเสพติดเป็นไปอย่างต่อเนื่องและได้ผลดีที่สุดกับผู้เข้ารับการรักษาบำบัดอาการติดยาเสพติด นอกจากนี้ยังครอบครัวควรพยายามเข้าใจและให้กำลังใจ ซึ่งเมื่อผู้ติดสารเสพติดกลับมาเป็นคนเดิม ครอบครัวควรให้เวลาอย่างสม่ำเสมอ เช่น พูดคุยกันในตอนเย็นระหว่างทานอาหารค่ำ เล่นกีฬาด้วยกัน หรือไปเที่ยวต่างจังหวัดร่วมกันในวันหยุด ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยสร้างสัมพันธภาพในครอบครัวให้กลับมาอีกครั้ง
ติดต่อเรา
99/1 หมู่ 6 ตำบล ศรีจุฬา อำเภอ เมืองนครนายก จังหวัด นครนายก 26000
064-645-5091
[email protected]
จันทร์ – อาทิตย์: 9.00 -17.00